เทรดทองคำ คืออะไร? เข้าใจการซื้อขายทองคำ & ความสำคัญในการลงทุน
สารบัญ
เทรดทองคำ คืออะไร เข้าใจการซื้อขายทองคำ & ความสำคัญในการลงทุน
การเทรดทองคำ คือการซื้อขายเก็งกำไรบนราคาทองคำในตลาดโลก โดยผู้เทรดสามารถทำกำไรจากส่วนต่างของราคาซื้อและราคาขาย ไม่ว่าราคาทองจะปรับขึ้นหรือลงก็ตาม กล่าวคือ เราอาจเข้าซื้อทองคำเมื่อคาดว่าราคาจะปรับสูงขึ้น แล้วขายทำกำไรเมื่อราคาขึ้นตามคาด หรือในทางกลับกัน หากมองว่าราคาทองจะปรับลดลง เราก็สามารถเปิดสถานะ ขายชอร์ต (Short Sell) ทองคำล่วงหน้าแล้วไปซื้อคืนในราคาที่ต่ำกว่า เพื่อกินกำไรจากส่วนต่างนั้น การเทรดทองคำสมัยใหม่มักทำผ่านระบบออนไลน์ เช่น การซื้อขายสัญญาทองคำในตลาดฟิวเจอร์ส หรือ ตลาดฟอเร็กซ์ (XAU/USD) ผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงตลาดทองคำโลกได้โดยไม่ต้องซื้อทองคำแท่งจริงเป็นก้อน ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดเก็บหรือขนส่งทองคำจริง
ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลกมายาวนาน เพราะถูกมองว่าเป็น สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) และเป็น ที่เก็บรักษามูลค่า (Store of Value) ที่เชื่อถือได้ เมื่อเกิดความไม่แน่นอนในระบบเศรษฐกิจหรือภาวะตลาดการเงินผันผวน ราคาทองคำมักปรับตัวสูงขึ้นจากแรงซื้อของนักลงทุนที่ต้องการปกป้องความมั่งคั่ง เช่น ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหรือค่าเงินอ่อนค่า ผู้คนมักแห่ซื้อทองคำเก็บไว้ ส่งผลให้ราคาทองพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ตลาดทองคำ จึงมีสภาพคล่องสูงและได้รับความนิยมทั้งจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อยอยู่เสมอ
ความหมายของการเทรดทองคำ
การเทรดทองคำ หมายถึง การซื้อขายทองคำในลักษณะการลงทุนระยะสั้น-กลาง โดยมุ่งหวังสร้างกำไรจากความผันผวนของราคา แตกต่างจากการลงทุนถือครองทองคำระยะยาวที่เน้นสะสมมูลค่า ผู้ที่เทรดทองคำมักทำธุรกรรมซื้อขายบ่อยครั้ง (เช่น รายวันหรือรายสัปดาห์) เพื่อเก็งกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในแต่ละช่วง โดยไม่จำเป็นต้องถือครองทองคำจริงในรูปแบบกายภาพ ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์อาจเข้าซื้อเมื่อเห็นแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้น และขายทำกำไรเมื่อราคาปรับสูงขึ้น หรือเปิดคำสั่งขายชอร์ตเมื่อคาดว่าราคาจะปรับลง แล้วจึงซื้อคืนเมื่อราคาลดลงเพื่อทำกำไรส่วนต่าง
ปัจจุบัน การเทรดทองคำออนไลน์ ผ่านโบรกเกอร์เป็นที่นิยมอย่างมาก แทนที่จะซื้อขายทองคำแท่งจริง เราสามารถซื้อขายผ่าน สัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ สัญญา CFD (Contract for Difference) ที่อ้างอิงราคาทองคำ โดยผู้เทรดจะได้รับกำไร/ขาดทุนตามส่วนต่างราคาที่เปิดและปิดสถานะเท่านั้น ไม่ต้องมีทองคำจริงในการครอบครอง ตัวอย่างเช่น การเทรดทองคำในตลาด Forex ผ่านคู่สกุลเงิน XAU/USD (ทองคำเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ) ช่วยให้นักลงทุนเปิดคำสั่ง “Buy” หรือ “Sell” เพื่อเก็งกำไรทิศทางราคาทองได้ทันที พร้อมใช้เครื่องมืออย่าง เลเวอเรจ (Leverage) ช่วยขยายผลกำไร/ขาดทุนจากเงินทุนตั้งต้น และปิดสถานะเมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องส่งมอบทองคำจริง ข้อดีคือใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการซื้อทองคำแท่งมาก และสะดวกรวดเร็วกว่ามาก อย่างไรก็ตาม การใช้เลเวอเรจสูงก็เพิ่มความเสี่ยง จึงต้องบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบควบคู่ไปด้วย
รู้หรือไม่ การถือทองคำในพอร์ตลงทุนยังมีประโยชน์ในการกระจายความเสี่ยง เพราะราคาทองคำมักเคลื่อนไหวไม่ไปในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ เช่น หุ้นหรือพันธบัตร การเพิ่มทองคำเข้าไปบางส่วนจึงช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมได้ (ผู้สนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมเรื่องกลยุทธ์การแบ่งสัดส่วนสินทรัพย์ในบทความ การจัดการพอร์ตการลงทุน เพื่อเรียนรู้วิธีกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม)
ทำไมทองคำถึงน่าเทรด?
ทองคำได้รับความนิยมอย่างสูงในการเทรด เพราะมีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่เปิดโอกาสให้ทำกำไรและป้องกันความเสี่ยงได้พร้อมกัน เหตุผลสำคัญที่ทองคำน่าเทรด มีดังนี้
-
มูลค่าสูงและได้รับการยอมรับทั่วโลก: ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ทั่วโลกยอมรับในคุณค่า ไม่ว่าจะยุคใดทองคำก็ยังทรงมูลค่า ทำให้ความต้องการซื้อขายในตลาดมีอยู่เสมอ ราคาทองคำจึงสะท้อนถึงความเชื่อมั่นโดยรวมของเศรษฐกิจด้วย เช่น เมื่อเศรษฐกิจผันผวนหรือเกิดวิกฤต นักลงทุนมักเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ส่งผลให้ราคาทองพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
-
ความผันผวนของราคา = โอกาสทำกำไร: ราคาทองคำมีความผันผวนค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ชนิดอื่น ช่วงที่มีข่าวสำคัญหรือการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ ราคาทองสามารถแกว่งขึ้นลงทีละหลายสิบดอลลาร์ต่อวัน เทรดเดอร์จึงมีโอกาสเข้าสร้างกำไรระยะสั้นได้บ่อยครั้ง เช่น ในภาวะที่ตลาดหุ้นร่วงหนัก ราคาทองมักพุ่งขึ้นเร็ว เปิดช่องให้ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวนี้
-
สภาพคล่องสูง ซื้อขายได้สะดวก: ตลาดทองคำโลก มีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก ทั้งธนาคารกลาง กองทุนใหญ่ และนักลงทุนรายย่อย ส่งผลให้ปริมาณซื้อขายต่อวันสูงและสเปรด (ส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย) แคบ การเข้าหรือออกจากตลาดสามารถทำได้แทบตลอด 24 ชั่วโมงในวันทำการ (เพราะตลาดทองคำเชื่อมโยงกับตลาด Forex ที่เปิดทำการตลอดทั้งวันจันทร์-ศุกร์) ผู้เทรดจึงซื้อขายได้สะดวกโดยไม่ติดปัญหาสภาพคล่อง
-
ช่วยกระจายความเสี่ยง & ป้องกันเงินเฟ้อ: ทองคำมักมีความสัมพันธ์ตรงข้ามกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ และเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เพราะทองคำมีอุปทานจำกัด ไม่สามารถพิมพ์เพิ่มได้เหมือนเงินตรา มูลค่าของทองคำจึงไม่ถูกลดทอนจากเงินเฟ้อ การถือทองคำไว้บางส่วนในพอร์ตช่วยป้องกันความเสี่ยงจากค่าเงินอ่อนค่าและเงินเฟ้อได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างคือในช่วงเงินเฟ้อสูง นักลงทุนมักซื้อทองคำเพื่อรักษาอำนาจซื้อ ส่งผลให้ราคาทองปรับตัวขึ้นตาม
จากเหตุผลข้างต้น จะเห็นว่าการเทรดทองคำสามารถตอบโจทย์ทั้งด้านการเก็งกำไรเชิงรุก (ทำกำไรจากการขึ้นลงของราคา) และการจัดพอร์ตเชิงรับ (ถือทองคำเป็นหลุมหลบภัยยามตลาดผันผวน) ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการบริหารพอร์ตลงทุนให้สมดุล การมีทองคำติดพอร์ตไว้บ้างช่วยลดความเสี่ยงรวมของพอร์ตลงได้
รูปแบบการลงทุนและการเทรดทองคำ
นักลงทุนสามารถลงทุนหรือเทรดทองคำได้หลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องซื้อทองคำแท่งจริงเสมอไป ควรเลือกช่องทางที่เหมาะกับเป้าหมายการลงทุนและความถนัดของตนเอง ซึ่งช่องทางหลักในการลงทุน/เทรดทองคำ มีดังนี้:
-
ทองคำแท่งและทองรูปพรรณ: การซื้อทองคำแท่งหรือเครื่องประดับทองจริงมาเก็บไว้ แล้วขายออกเมื่อราคาสูงขึ้น วิธีนี้เหมาะกับการลงทุนระยะยาวเพื่อสะสมความมั่งคั่ง ข้อดีคือได้ครอบครองทองคำจริงที่มีมูลค่า แต่มีต้นทุนค่า กำเหน็จ (ค่าดำเนินการขึ้นรูป/ค่ากำกับทอง) และต้องมีที่จัดเก็บที่ปลอดภัย อีกทั้งทำกำไรได้เฉพาะเมื่อราคาทองปรับขึ้นเท่านั้น ไม่สามารถทำกำไรขาลงได้
-
กองทุนทองคำ (Gold Funds) / ETF ทองคำ: การลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำหรือกองทุน ETF ที่อ้างอิงราคาทองคำโลก ผู้ลงทุนจะซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนซึ่งมีทองคำแท่งหรือสัญญาทองคำเป็นทรัพย์สินอ้างอิง ข้อดีคือสะดวก ไม่ต้องเก็บทองคำเอง สามารถซื้อขายหน่วยลงทุนได้ง่ายเหมือนหุ้น และใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการซื้อทองคำจริง เหมาะกับการลงทุนระยะกลาง-ยาวเพื่อเกาะตามแนวโน้มราคาทอง
-
สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold Futures): ซื้อขายทองคำผ่านตลาดอนุพันธ์ เช่น ตลาด TFEX (ประเทศไทย) ซึ่งใช้เงินวางประกัน (Margin) เพียงส่วนหนึ่งของมูลค่าสัญญา ผู้ลงทุนสามารถเก็งกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงโดยการเปิดสถานะ “สัญญาซื้อ” หากคาดว่าราคาจะขึ้น หรือ “สัญญาขาย” หากคาดว่าราคาจะลง สัญญา Futures มีวันหมดอายุที่กำหนด หากไม่ปิดสถานะก่อนครบกำหนดอาจต้องส่งมอบทองคำจริงหรือชำระส่วนต่างราคาตามเงื่อนไข เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้และต้องการเก็งกำไรระยะสั้น-กลาง
-
สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (Gold CFD / คู่เงิน XAU/USD): ช่องทางยอดนิยมสำหรับ การเทรดทองคำออนไลน์ ผ่านโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ ผู้เทรดสามารถเปิดคำสั่ง ซื้อ (Long) หรือ ขาย (Short) บนคู่ทองคำ (XAU) เทียบดอลลาร์สหรัฐ (USD) โดยไม่ต้องใช้ทุนเต็มจำนวนทองคำจริง ใช้เงินประกันเพียงบางส่วนผ่านเลเวอเรจ ข้อได้เปรียบคือสามารถเข้าออกตลาดได้รวดเร็ว ไม่มีวันหมดอายุสัญญา และกำหนดจุดทำกำไร/จุดหยุดขาดทุนได้เอง เหมาะกับการเทรดระยะสั้นหรือรายวันเพื่อเก็งกำไรความผันผวนของราคา
-
หุ้นเหมืองทองคำ: ทางเลือกอื่นคือการลงทุนในหุ้นของบริษัทเหมืองทองหรือบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับทองคำ ราคาหุ้นเหล่านี้มักได้รับอานิสงส์จากการปรับขึ้นของราคาทองคำ (เพราะรายได้และกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น) แต่ก็มีปัจจัยเฉพาะของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน ปริมาณการผลิต ฯลฯ ทำให้ราคาหุ้นอาจไม่สะท้อนราคาทองคำตรงๆ การลงทุนนี้จึงเป็นการได้รับ ผลตอบแทนทางอ้อม จากราคาทอง เหมาะกับผู้ที่สนใจทั้งทองคำและการลงทุนหุ้นควบคู่กัน
เปรียบเทียบช่องทางลงทุนทองคำ เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองพิจารณาความแตกต่างของแต่ละวิธี เช่น การซื้อทองคำแท่งเหมาะกับผู้ต้องการถือครองจริงและลงทุนยาวๆ แต่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่และทำกำไรได้เฉพาะขาขึ้น ส่วนการเทรดผ่าน CFD ใช้ทุนน้อยกว่าและทำกำไรได้สองทางแต่ความเสี่ยงสูงกว่าและต้องอาศัยทักษะการเทรด เป็นต้น ดังนั้นนักลงทุนควรเลือกช่องทางที่สอดคล้องกับระดับความรู้และความเสี่ยงที่ตนยอมรับได้ หากยังใหม่ต่อการลงทุน การเริ่มจากช่องทางที่ไม่ซับซ้อนมาก (เช่น กองทุนทองหรือ ETF) แล้วค่อยๆ ศึกษาการเทรดเชิงรุกผ่านฟิวเจอร์สหรือ CFD เมื่อมีความรู้เพียงพอ จะเป็นแนวทางที่ปลอดภัยกว่า
ข่าวที่ส่งผลกระทบต่อการเทรดทองคำ
การเทรดทองคำ (XAU/USD) เป็นการลงทุนที่มีความผันผวนสูงและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งสามารถส่งผลต่อราคาทองคำได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยข่าวที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำมีหลายประเภทที่นักลงทุนควรติดตาม
1. ข่าวเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง
อัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางโดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve หรือ FED) มีผลโดยตรงกับราคาทองคำ การปรับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะส่งผลให้ทองคำมีราคาต่ำลง เนื่องจากผู้ลงทุนจะเลือกไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือเงินฝากธนาคาร ซึ่งไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเหมือนทองคำ ในทางกลับกัน หากธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยหรือส่งสัญญาณจะผ่อนคลายมาตรการการเงิน ทองคำจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ราคาทองคำสูงขึ้น
-
ตัวอย่าง หาก FED ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดอัตราเงินเฟ้อ ราคาทองคำมักจะปรับตัวลงตามผลกระทบจากการขยายตัวของผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากพันธบัตรรัฐบาล
2. ตัวเลขเงินเฟ้อ (Inflation)
ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อที่สูงมักหนุนราคาทองคำขึ้น เพราะทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ถือว่าเป็นตัวป้องกันการลดมูลค่าของเงิน (Inflation Hedge) เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น มูลค่าของเงินกระดาษจะลดลง ทองคำจึงได้รับความนิยมในการเป็นที่เก็บมูลค่า โดยเฉพาะในช่วงที่เงินเฟ้อสูงและอัตราดอกเบี้ยไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม
-
ตัวอย่าง หากอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐสูงกว่าที่คาด ราคาทองคำจะมีแนวโน้มขึ้นเพราะนักลงทุนเชื่อว่าเงินที่ถืออยู่จะลดค่าลง ดังนั้นจึงซื้อทองเพื่อเก็บมูลค่า
3. ข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls)
ตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ (Non-Farm Payrolls หรือ NFP) เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญ ตัวเลขนี้จะบอกถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ หากตัวเลขการจ้างงานเพิ่มขึ้นแสดงว่าเศรษฐกิจกำลังขยายตัว ซึ่งจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่าและอาจทำให้ราคาทองคำลดลง หากตัวเลขการจ้างงานน้อยกว่าที่คาดจะสะท้อนว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวและทองคำมักจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น
-
ตัวอย่าง หาก NFP ต่ำกว่าคาด ราคาทองมักจะสูงขึ้นเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้น
4. ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Events)
เหตุการณ์ทางการเมืองหรือสงครามมักส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดทองคำ โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือความไม่สงบทางการเมือง ราคาทองคำมักจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากการมองทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย (Safe-Haven Asset) ที่สามารถปกป้องความมั่งคั่งจากความไม่แน่นอนในตลาด
-
ตัวอย่าง เหตุการณ์อย่างการประกาศสงคราม, การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ, หรือความตึงเครียดระหว่างประเทศ จะทำให้นักลงทุนหันมาซื้อทองคำมากขึ้นเพื่อรักษามูลค่า
5. ปัจจัยภายในตลาดทองคำ (Supply and Demand)
อุปสงค์และอุปทานในตลาดทองคำเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาทองคำ โดยเฉพาะเมื่อเกิดการขาดแคลนทองคำหรือปริมาณการผลิตที่ลดลง ราคาทองคำสามารถเพิ่มขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อเหมืองทองมีผลผลิตน้อยลงหรือประเทศสำคัญที่ผลิตทองคำลดปริมาณการขุดทอง
-
ตัวอย่าง เมื่อมีการประกาศจากรัฐบาลหรือกลุ่มการผลิตทองคำที่สำคัญอย่างประเทศแอฟริกาใต้หรือจีนว่าผลิตทองคำได้ลดลง ราคาทองคำอาจปรับขึ้นจากอุปทานที่ลดลง
6. ข่าวการซื้อทองคำจากธนาคารกลาง
ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เช่น ธนาคารกลางจีนหรือรัสเซีย จะมีบทบาทสำคัญในการซื้อขายทองคำเพื่อเป็นทุนสำรองของประเทศ การที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ซื้อทองเพิ่มในปริมาณมากมักเป็นการส่งสัญญาณว่ามีการสะสมทองคำและสามารถหนุนราคาทองให้สูงขึ้นได้
-
ตัวอย่าง หากมีข่าวการที่ธนาคารกลางจีนซื้อทองคำเพิ่มมากๆ ราคาทองมักจะพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากมีอุปสงค์จากภาครัฐที่สูงขึ้น
7. ข่าวจากตลาดฟิวเจอร์สทองคำ (Gold Futures Market)
ข่าวจากตลาดฟิวเจอร์สทองคำสามารถมีผลกระทบต่อราคาทองในตลาดโลกได้ ตลาดฟิวเจอร์สทองคำมักแสดงถึงการคาดการณ์ของนักลงทุนในอนาคตเกี่ยวกับราคาทองคำ โดยการซื้อขายฟิวเจอร์สทองคำที่สูงหรือการคาดการณ์ราคาทองที่สูงจะทำให้ราคาทองในตลาดสปอต (Spot) ขยับตามไปด้วย
-
ตัวอย่าง การประกาศความต้องการในการเปิดสัญญาซื้อขายทองคำในตลาดฟิวเจอร์สจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนในตลาดสปอต
8. เหตุการณ์การระบาดของโรค
เหตุการณ์ที่เกิดจากโรคระบาด เช่น การระบาดของ COVID-19 ทำให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดการเงินและเศรษฐกิจทั่วโลก ราคาทองคำมักจะสูงขึ้นเนื่องจากความเชื่อมั่นที่ลดลงในระบบการเงินและสินทรัพย์เสี่ยง
-
ตัวอย่าง ในช่วงต้นปี 2020 เมื่อเกิดการระบาดของ COVID-19 ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากนักลงทุนหันมาเชื่อมั่นในทองคำมากขึ้นในช่วงวิกฤต
ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการเทรดทองคำ
แม้ทองคำจะเป็นสินทรัพย์ที่มีเสน่ห์และมีโอกาสทำกำไรดี แต่การเทรดทองคำก็มีความเสี่ยงสูงที่นักลงทุนต้องระมัดระวัง ประเด็นความเสี่ยงหลักๆ มีดังนี้
-
ความผันผวนรุนแรงของราคา ราคาทองคำสามารถเหวี่ยงขึ้นลงแรงในช่วงสั้นๆ จากปัจจัยข่าวหรือแรงซื้อขายจำนวนมาก การแกว่งตัวที่รวดเร็วอาจสร้างกำไรมหาศาลแต่ก็อาจนำไปสู่การขาดทุนหนักได้หากถือสถานะผิดทาง เทรดเดอร์มือใหม่ที่ยังไม่ชินกับความผันผวนสูงอาจตื่นตระหนกและตัดสินใจผิดพลาด (เช่น รีบคัทลอสหรือถัวขาดทุนจนบานปลาย) จึงควรเริ่มเทรดด้วยขนาดสัญญาเล็กๆ และตั้ง จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ทุกครั้งเพื่อจำกัดการสูญเสียในกรณีที่ตลาดไม่เป็นไปตามคาด
-
การใช้อำนาจซื้อ (Leverage) อย่างไม่ระวัง การเทรดทองคำผ่านโบรกเกอร์มักมีการให้เลเวอเรจสูง เช่น 1:100 หรือ 1:500 ซึ่งเป็นดาบสองคม เลเวอเรจช่วยให้ใช้ทุนน้อยลงในการเปิดสัญญาขนาดใหญ่ ทำให้กำไรที่เป็นไปได้สูงขึ้น แต่ ก็ขยายผลขาดทุนให้มากขึ้นเช่นกัน หากเทรดเดอร์ ใช้เลเวอเรจเกินตัว (Over-Leverage) โดยเปิดสถานะใหญ่เมื่อเทียบกับเงินทุน หวังรวยเร็วเพียงครั้งเดียว การเคลื่อนไหวของราคาทองเพียงเล็กน้อยในทางตรงกันข้ามก็อาจล้างพอร์ตได้ เทรดเดอร์จึงควรใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวังและปรับขนาดการเทรดให้เหมาะสมกับทุนของตน
-
ความเสี่ยงจากข่าวสารและเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตลาดทองคำตอบสนองต่อข่าวเศรษฐกิจและการเมืองใหญ่ๆ อย่างรวดเร็ว เหตุการณ์เช่น การประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ การจ้างงานสหรัฐ การประชุมธนาคารกลาง (FED) หรือความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (สงคราม การก่อการร้าย) สามารถทำให้ราคาทองแกว่งแรงภายในเวลาไม่กี่นาที หากเทรดเดอร์ไม่ทราบกำหนดการเหล่านี้ล่วงหน้าและถือสถานะฝืนทิศทางก็อาจโดนความผันผวนชั่วพริบตาทำให้ขาดทุนหนักได้ คำแนะนำคือ ควรติดตามปฏิทินเศรษฐกิจและข่าวสารสำคัญอยู่เสมอ หากใกล้เวลามีข่าวแรง ควรงดเทรดหรือปิดลดสถานะเพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนฉับพลัน
-
สภาพคล่องบางช่วงเวลา แม้ตลาดทองคำจะมีสภาพคล่องสูงโดยรวม แต่ในบางช่วงที่ตลาดใหญ่ปิด (เช่น ช่วงตี 3-6 ตามเวลาไทย ซึ่งตลาดนิวยอร์กปิดและตลาดเอเชียยังไม่เปิด) ปริมาณซื้อขายอาจเบาบาง สเปรดราคาจะกว้างขึ้น การส่งคำสั่งขนาดใหญ่ในช่วงนี้อาจได้ราคาที่แย่หรือเกิด Slippage (ราคาที่เปิดจริงคลาดเคลื่อนจากที่ตั้งไว้) ดังนั้นควรระมัดระวังการเทรดช่วงตลาดเงียบและหลีกเลี่ยงการถือสถานะขนาดใหญ่ข้ามช่วงวันหยุดหรือช่วงที่สภาพคล่องต่ำ
ข้อควรระวังเพิ่มเติม ก่อนเริ่มเทรดทองคำด้วยเงินจริง ควรทดลองฝึกบนบัญชีทดลอง (Demo) ที่โบรกเกอร์มีให้ เพื่อเรียนรู้กลไกราคาและฝึกใช้เครื่องมือเทรดต่างๆ โดยไม่เสี่ยงขาดทุนจริง นอกจากนี้ควรมี แผนการเทรดและระบบบริหารความเสี่ยง ที่ชัดเจนเสมอ เช่น กำหนดจุดเข้า-ออกล่วงหน้า, ตั้ง Stop Loss และ Take Profit ทุกครั้ง, จำกัดความเสี่ยงต่อการเทรดแต่ละครั้งไม่เกิน 1-2% ของทุนทั้งหมด เป็นต้น วินัยในการทำตามแผนจะช่วยป้องกันไม่ให้ความโลภหรือความกลัวเข้าครอบงำการตัดสินใจ หรือคุณอาจจะต้องเรียนรู้วิธีสอนเทรด forex สำหรับมือใหม่ที่ประสบการณ์น้อยควรหาความรู้เพิ่มและศึกษาให้มากจะได้รู้จักวางแผนก่อนการเทรดหากคุณเรียนรู้สิ่งเหล่านี้จะไม่ทำให้คุณ พอร์ตแตก ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการขาดทุนหนักของนักเทรดมือใหม่ที่หลายคนไม่ต้องการ
สรุป
การเทรดทองคำ เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการทั้งเก็งกำไรระยะสั้นและกระจายความเสี่ยงในพอร์ตระยะยาว ผู้ที่จะประสบความสำเร็จต้องศึกษาหาความรู้ทั้งด้านปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อราคาทอง ควบคู่กับการฝึกทักษะ การวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่ออ่านกราฟราคา จับจังหวะเข้า-ออกตลาดได้อย่างเหมาะสม เมื่อผสานกับการบริหารความเสี่ยงที่ดี การเทรดทองคำก็สามารถสร้างผลตอบแทนที่งดงามและยั่งยืนได้
สำหรับมือใหม่ที่สนใจเริ่มเทรดทองคำ ขอแนะนำให้เริ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลาศึกษาตลาดและทดลองกลยุทธ์จนมั่นใจก่อนลงเงินจริง ความรู้และวินัย จะเป็นเกราะป้องกันชั้นดีในการเผชิญความผันผวนของตลาดทองคำ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจการเทรดทองคำมากขึ้น และขอให้โชคดีกับเส้นทางการลงทุนทองคำของคุณ